UFABETWINS เรย์ vs คิม : “สู้ (จน) ตาย” ของนักชกเกาหลีใต้สู่การปิดตำนานมวย 15 ยก

UFABETWINS 1980s คือยุคที่มวยรุ่นเล็กเฟื่องฟูสุด ๆ การกำเนิดของ จตุรเทพ แห่งยุคอย่าง ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด, มาร์วิน แฮ็คเลอร์, โรแบร์โต ดูรัน และ โธมัส เฮิร์นส์

อาจทำให้นักมวยหลายคนถูกลืมไปบ้าง คุณอาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อของ เรย์ มันชินี่ และ คิม ดุก กู บ่อยนัก ถ้าไม่ใช่คอมวยจริง ๆ ก็อาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพวกเขาเลย อย่างไรก็ตามถ้าเปลี่ยนมุมมอง จากการมองว่าพวกเขาเป็น “นักมวย” เป็น “นักสู้” แทน

คุณจะพบว่าเรื่องราวของนักชกสองสัญชาติคู่นี้ มีสตอรี่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ตำนานนักมวยคนใดในโลกใบนี้เลย เรื่องนี้มีคนต้องซื้อประวัติศาสตร์ด้วยชีวิต และสิ่งที่เขาจ่ายไป นำมาสู่การห่างไกลความตาย ของนักมวยยุคปัจจุบันอีกด้วย เกิดอะไรขึ้นในไฟต์ระหว่าง เรย์ และ คิม ในปี 1984 ?

ติดตามได้ที่นี่ เส้นทางนักสู้ vs สายเลือดนักมวย ไกลออกไปจากกรุงโซล เมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ 100 กิโลเมตร มีหมู่บ้านชาวประมงในจังหวัด กังวอน ครอบครัวหนึ่งกำลังตกทุกข์ได้ยาก และเด็กน้อยที่ชื่อว่า คิม ดุก กู คือผู้เล่าเรื่องราวความลำบากนี้ด้วยทั้งหมดชีวิต

ของเขา ตอนอายุ 2 ขวบ พ่อของเขาติดเชื้อไวรัสและเสียชีวิตไป ส่วนเขาที่กำลังแบเบาะก็ติดเชื้อนั้นด้วย ก่อนรอดมาอย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องราวทั้งหมดเพิ่งเริ่มต้นขึ้น Banam Sun-nyo แม่ของ คิม นั้นต้องเลี้ยงลูก 5 คนด้วยตัวคนเดียว และนั่นทำให้เธอต้องพยายามอย่างมาก

ในแต่ละวัน เธอแต่งงานใหม่ทั้งหมดถึง 3 ครั้ง กว่าจะมาถึงครั้งสุดท้าย เธอและลูก ๆ ก็มีความทรงจำอันเลวร้ายมากมาย เช่น การถูกพ่อเลี้ยงทุบตี โดนกดขี่สารพัด จนต้องขนข้าวขนของกระเตงลูกเต้าหนีออกมาด้วยการเดินเท้าถึง 18 กิโลเมตร กระทั่งมาพบรักกับชาวนาคนหนึ่ง

และนั่นคือรักสุดท้ายของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่ได้แต่งงานกับคนรวย ดังนั้นลูก ๆ ของเธอจึงต้องทำงานอย่างนัก คิม เองก็ช่วยที่บ้านทำงานแทบทุกอย่าง แม้จะเป็นน้องเล็กที่สุดในครอบครัวก็ตาม ช่วงเวลาหลังจากทำงานเสร็จ คิม มักจะโดนพี่ ๆ ลากไปมีเรื่องตามที่ต่าง ๆ

UFABETWINS

สู้กับเด็กรุ่นเดียวกันทุกคน จนกระทั่งตระกูลคิมของพวกเขากลายเป็นขาโจ๋ประจำชนบทไปโดยปริยาย ทว่า คิม ดุก กู ถือเป็นนักสู้ระดับบ๊วยของทีม เขาสู้กับใครไม่ค่อยได้ เพราะตัวเล็กเกินไป “ดุก กู ห่วยกว่าใคร ๆ ไม่คิดว่าวันหนึ่งเขาจะมาเป็นนักมวยได้เลย สิ่งเดียวที่พอจะมีคือ

เขาเป็นเด็กที่เข้มแข็งผิดมนุษย์ แม้จะสู้ใครไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องความอึด ไม่มีใครทนมือทนตีนได้มากกว่าเขาอีกแล้ว” พี่ชายผู้นำพา คิม ดุก กู เข้าสู่เส้นทางนักเลงว่าไว้ เมื่อเริ่มรู้ความเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น คิม ก็เข้ากรุงโซลเพื่อไปหางานทำ เริ่มจากงานรับจ้างหลายอย่าง ทั้งเด็กขัดรองเท้า

เป็นไกด์ทัวร์ และสุดท้ายในปี 1976 เขาก็เริ่มเข้าสู่ค่ายมวยสากลสมัครเล่น การมีน้ำอดน้ำทนของเขามีประโยชน์มาก คิม ดุก กู คือ มวยเอเชียพันธุ์แท้ และเขาก้าวกระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาใช้เวลา 2 ปีในระดับสมัครเล่นก็เทิร์นโปร และต่อเนื่องจากนั้น 4 ปี เขาก็คว้าแชมป์สหพันธ์

มวยภาคตะวันออกไกลและแปซิฟิก (OPBF) รุ่นไลท์เวต 135 ปอนด์ มาครองเป็นตำแหน่งแรก จนชื่อของเขาเริ่มเป็นที่จับตามองในวงการว่าเป็น ดาวจรัสแสงดวงใหม่ของวงการมวยโสมขาว สถิติชนะ 17 เสมอ 1 แพ้ 1 นับว่าไม่ธรรมดา และสไตล์ของ คิม นั้นถูกระบุว่า “ดุร้าย”

“ผมได้นั่งดูเทปของเขาและรู้ว่าคน ๆ นี้จะเป็นคู่ชกคนต่อไป เมื่อเปิดเทป ผมรับรู้ได้ว่านี่จะเป็นงานยาก ดุร้ายและน่าหลงใหล ผมคงต้องบอกแบบนั้น ชายป่าเถื่อนคนนี้อึดและบ้ามาก ขว้างหมัดออกมาเป็นชุด ราวกับเห็นภาพสะท้อนของตัวผมเองด้วยกระจก”

ใครสักคนว่าถึงสไตล์การชกของ คิม ดุก กู ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คงต้องบอกว่า นักชกชาวเกาหลีใต้มีสไตล์การชกเป็นมวยไฟเตอร์ คล้ายกับ แมนนี่ ปาเกียว เดินหน้าฆ่ามัน ตั้งรับไม่จำเป็น และใครคนนั้นที่กล่าวถึง คิม ดุก กู คือ เรย์ มันชินี่ สายเลือดนักมวยพันธุ์แท้จาก

รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้มีพ่อเป็นแชมป์โลกเมื่อครั้งอดีต เรย์ มันชินี่ คือสายเลือดนักมวยโดยแท้จริง พ่อของเขา เลนนี่ เคยเป็นนักมวยระดับแถวหน้าในช่วงยุคปี 1940 แต่ไปไม่ถึงจุดสูงสุดเพราะต้องเข้าร่วมกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนได้รับบาดเจ็บจน

ไม่สามารถกลับมาชกมวยได้ เมื่อ เลนนี่ มีลูกชายคือ “เรย์” ความฝันทั้งหมดจึงถูกส่งต่อให้กับลูกชายของเขา ผู้รับฉายาของพ่อ พร้อมภารกิจคว้าแชมป์โลกที่ค้างคาภายใต้ชื่อ เรย์ “บูม บูม” มันชินี่ “ผมได้ฉายาว่า ‘บูม บูม จูเนียร์’ ตอนชกสมัครเล่นผมสถิติดีใช้ได้ แต่การชกแบบนั้น

ไม่ช่วยให้คุณได้มีข้าวกินจนอิ่มท้อง นักมวยทุกคนต้องเลือกว่าจะเอาอะไรระหว่างชกสมัครเล่นกับเทิร์นโปร … ถ้าเลือกเส้นทางสายสมัครเล่น คุณจะมีอาชีพที่ยาวนาน แต่ถ้าเป็นมืออาชีพ คุณไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนอายุ 18 ปี พ่อและแม่บอกว่าได้เวลาที่ต้องออกจากบ้าน

และไปหางานทำซะ นั่นล่ะทำให้ผมเลือกเป็นนักมวยอาชีพ” เรย์ “บูม บูม” มันชินี่ เป็นมวยไฟเตอร์ที่ไม่เคยถอยหลังให้ใคร เขาได้รางวัลนักชกที่ต่อยได้น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดจนกลายเป็นขวัญใจคอมวยในยุค 80s แม้แต่ตำนานของยุคนั้นอย่าง ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด ยังเคยออกปากว่า

“ผมไม่มีทางต่อยแบบเขาได้เลย” เบื้องหลังมาจากคำพูดของพ่อที่สอนตลอดว่า แม้จะไม่สามารถเอาชนะนักมวยทุกคนบนโลกนี้ได้ แต่อย่างน้อยเวลาขึ้นชกจงบี้เข้าไปอย่าได้ถอย และนั่นคือสไตล์ที่ทำให้ เรย์ มันชินี่ มวยซ้ายเลือดอิตาเลี่ยน-อเมริกัน ใช้เวลาแค่ 3 ปี

ไต่จากการเทิร์นโปรไปสู่การเป็นนักชกแชมป์โลกรุ่นไลท์เวต 135 ปอนด์ของ WBC ในช่วงต้นยุค 80s ทั้ง เรย์ และ คิม ต่างก็เป็นสุดยอดมวยรุ่นเล็กของฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ดังนั้นเป็นธรรมดาของวงการมวยโลก เมื่อมีนักมวยที่ฝีมือใกล้ ๆ กัน จนเกิดข้อถกเถียงว่า

“ใครเก่งกว่าใคร” พวกเขาก็จะสนองความต้องการ ด้วยการจับชนเพื่อหาคำตอบนั้น และสำคัญที่สุด คือ “ไฟต์แบบนี้” ทำเงินน่าดูเลยทีเดียว ไฟต์ระหว่าง คิม และ เรย์ ถูกจัดขึ้นที่ ซีซาร์ พาเลซ นครลาสเวกัส ในปี 1982 ณ เวลานั้นเข็มขัดแชมป์ของ เรย์ “บูม บูม”

ผ่านการป้องกันแชมป์มาทั้งหมด 4 ครั้ง จนกระทั่งมาถึงคิวของผู้ท้าชิงอย่าง คิม ที่เพิ่งเคยออกมาต่อยนอกประเทศเป็นครั้งที่ 2 สำหรับ เรย์ และชาวอเมริกัน อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่โตระดับไฟต์หยุดโลก แต่สำหรับชาวเกาหลีใต้และตัวของ คิม นั้นยิ่งใหญ่อย่างที่สุด

เป็นโอกาสที่แทบจะหาไม่ได้ เขารู้ดีว่าความพยายามทั้งชีวิตจะตอบแทนเขาอย่างสาสมหากเขาคว่ำ เรย์ ได้และเป็นแชมป์โลก สิ่งนี้สะท้อนออกมาเป็นคำพูดก่อนขึ้นชกว่า “ไม่เขาก็ผม ต้องมีใครตายในไฟต์นี้” นี่คือสิ่งที่ คิม ว่าไว้ และมันมีความหมายค่อนข้างชัดเจน

โลกของมืออาชีพไม่เอาให้ตายก็ไม่มีทางจะชนะได้ง่าย ๆ เหนือสิ่งอื่นใดคือ คิม ต้องการชัยชนะไฟต์นี้สุด ๆ เพราะ ณ เวลานั้น ภรรยาของเขากำลังตั้งครรภ์ลูกชายคนแรก ชัยชนะที่ฝันถึงยิ่งใหญ่กว่าการเป็นแชมป์ แต่มันคือชีวิตความเป็นอยู่และปากท้องของลูกเมีย

ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ระหว่างที่เข้าพักในโรมแรมเพื่อเก็บตัวก่อนวันชกจริง สำนักข่าวอย่าง นิวยอร์ค ไทม์ส ระบุว่า คิม ตั้งหน้าตั้งตาซ้อมอย่างหนัก และ เรย์ รู้เรื่องนี้ เขาเตรียมพร้อมด้วยการตัดอคติเรื่องเชื้อชาติออกไป คิดว่าใครที่มายืนชกกับเขาบนเวทีก็ตาม

UFABETWINS

คนเหล่านี้ถือเป็นนักชกชั้นยอดทั้งนั้น “เมื่อต้องขึ้นชก ผมไม่เคยสนว่าใครจะมาจากประเทศไหน สิ่งที่ผมเห็นจากตัว คิม คือ เขาไม่ใช่นักชกที่เบสิคแน่นอะไรมากมายนัก แต่เขามีแรงปรารถนาสูงมาก เขาแบกประเทศของเขาไว้บนบ่าเพื่อขึ้นสังเวียนกับผม แบบนี้แหละที่น่ากลัว

ผมรู้เลยว่าผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง” เรย์ ว่าไว้ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เมื่อเสียงระฆังยกแรกดังขึ้น “นักชกทั้งสองคนแลกหมัดกันทันที มีการฟันธงว่าไฟต์นี้ เรย์ มันชินี่ อาจจะต้องสู้แบบครบยก เพราะคู่ชกของเขาอึดมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอ” ทิม ไรอัน ผู้บรรยายผ่านการ

ถ่ายทอดสดครบทั้ง 15 ยกในวันนั้นบอกผ่าน นิวยอร์ค ไทม์ส เรย์ เป็นฝ่ายชกได้ดีกว่าตามระเบียบ สำหรับนักชกที่เป็นมวยมาก่อนและเข้าสู่ระบบอาชีพที่ดีกว่า ขณะที่ คิม ยังคงสู้ตามวิธีของเขา แลกทุกหมัดแบบไม่มีมีกลัว แม้จะโดนชกไปบ้างแต่เขาก็สวนกลับได้ เข้าที่หน้าท้อง

และชายโครงซ้ายของ เรย์ เมื่อเข้าสู่ครึ่งหลังของไฟต์ (ยกที่ 8) ก็เริ่มเห็นความสูสีเกิดขึ้น ในยกที่ 8 นั้นเอง ทั้งสองคนมีการปะทะกันที่ศีรษะ จนทำให้ทั้งคู่มีเลือดไหลออกมาบริเวณจมูก อาการแผ่วของ เรย์ เริ่มแสดงออกมาแล้ว แต่นั่นเป็นเพราะเขาชก คิม เท่าไหร่ คิม

ก็ไม่ยอมลงสักที แม้ยกที่ 12 คิม จะโดนซัดร่วงจนเสียนับ แต่เขาก็ยังลุกขึ้นมาได้อีกจนผู้ชมกว่า 10,000 คนที่ ซีซาร์ พาเลซ อดปรบมือให้ไม่ได้ เมื่อเข้าสู่ยกที่ 13 คิม ที่อาการร่อแร่สุด ๆ ยังคงแสดงสิ่งที่เหลือเชื่อออกมาไม่หยุด เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายปล่อยหมัดชุดใส่ เรย์ ทั้ง ๆ

ที่ควรจะร่วงไปตั้งนานแล้ว “นี่คือผู้ท้าชิง คิม ดุก กู คุณอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน แต่วันนี้คุณจะต้องจดจำชื่อนี้เอาไว้ให้ดี” ผู้บรรยายถึงกับอดสรรเสริญไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ความห่างชั้นระหว่าง เรย์ และ คิม ก็ไม่สามารถกลบซ่อนด้วยความอึดและบ้าบิ่นได้ตลอดไป

เมื่อยกที่ 14 เริ่มขึ้น เรย์ มันชินี่ เล่นบทโหดใช้แรงเฮือกสุดท้าย ซัดหมัดซ้ายเข้าที่หน้า คิม แบบเต็ม ๆ จนครั้งนี้ ผู้ตัดสินอย่าง ริชาร์ด กรีน ถึงกับต้องโบกมือให้ยุติการชก เพราะหนนี้ คิม

ลุกไม่ไหวจริง ๆ เขานอนแน่นิ่งไม่ขยับจนทีมแพทย์ต้องเข้าชาร์จและพาเขาส่งเข้าโรงพยาบาลทันที “เขามาไกลเกินขีดจำกัดแล้วในไฟต์นี้” เรย์ มันชินี่ ยังคงรักษาแชมป์โลกได้ต่อไป

คลิ๊กเลย >>> UFABETWINS

อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล