UFABETWINS มันจะมีนักฟุตบอลบางประเภทที่ดูแล้วไม่ใช่เพื่อนร่วมทีมที่ดีนัก เจ้าอารมณ์เป็นที่หนึ่ง ไม่รักษากฎระเบียบ คิดจะทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อลงสนามกลับทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี จนคนอื่นๆด่าไม่ลง
UFABETWINS นักเตะสไตล์นี้มีเสน่ห์ลึกลับซ่อนอยู่ พวกเขาจะเป็นนักเตะที่จะพูดว่ารักก็พูดได้ไม่เต็มปาก จะพูดว่าเกลียดก็ไม่ตรงเป๊ะเสียขนาดนั้น.. ทั้งหมดนี้เป็นเพราะความติสต์แตกของนักเตะคนนั้นๆ นี่คือเรื่องราวของกองหน้าแห่งยุค 90’s ที่ติสต์ที่สุดคนหนึ่ง คนที่ลงซ้อมแล้วเพื่อนต้องส่ายหัว แต่เมื่อลงสนามกลับเป็นคนแรกที่เพื่อนๆมองหา
วัยแห่งความฝัน
ฟุตบอลกัลโช่ เซเรีย อา ของอิตาลี ในยุค 90’s นั้นเฟื่องฟูถึงขีดสุด โดยเฉพาะในส่วนของผู้เล่นเกมรุกนั้นถือว่าเต็มไปด้วยแข้งระดับโลกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น มาร์โก ฟาน บาสเทน, โรแบร์โต บาจโจ, จูเซ็ปเป ซินญอรี หรือคนอื่นๆ อีกมากมาย
ในการแข่งขันระดับสูงเช่นนี้ จึงไม่มีที่ว่างให้กับเหล่านักเตะที่มีพรสวรรค์แต่ไร้ความเคารพต่อทีมและเพื่อนร่วมทีมมากนัก ทุกคนต้องสู้เพื่อตำแหน่ง 11 ตัวจริง ดังนั้น ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี ในช่วง 90’s ที่ค้าแข้งอยู่กับยูเวนตุส จึงถือเป็นยอดดาวยิงที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง เหตุผลก็เพราะว่าเขาให้ความเคารพและรักสโมสรนี้มากจนสามารถทุ่มเททุกอย่างที่ตัวเองมีได้
“การได้ย้ายไปอยู่กับยูเวนตุสคือฝันที่เป็นจริงของผม ผมเป็นแฟนของยูเว่มาโดยตลอด ตอนที่เล่นให้กับเรจเจียน่า พอมีข่าวว่าแมวมองของยูเวนตุสมาดูฟอร์ม ผมเหมือนกับเป็นนักเตะที่มีพลังวิเศษเลย” ราวาเนลลีเล่าเรื่องราวจากจุดเริ่มของความยิ่งใหญ่
“ที่เรจเจียน่า ผมยิงประตูถล่มทลายอยู่แล้ว แต่พอแมวมองของยูเว่มาดูฟอร์มถึงสนาม ผมกลับเก่งยิ่งขึ้นไปอีก ทำได้ดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งผมรู้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิต มันไม่ใช่พลังวิเศษอะไรหรอก ผมแค่ใส่ทุกอย่างที่ผมมีลงไป เพราะผมไม่ต้องการจะพลาดโอกาสครั้งสำคัญนี้”
ความรู้สึกของเด็กหนุ่มที่ถูกสโมสรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ แถมยังเป็นสโมสรที่ตัวเองเชียร์เฝ้ามอง สามารถบอกเราได้แบบไม่ต้องใช้คำพูดมากมายว่าราวาเนลีในตอนนั้นร้อนแรงในเรื่องของการยิงประตู อันเป็นเหตุเพราะความมุ่งมั่นที่พุ่งทะยานถึงขีดสุด และไม่ว่าใครก็ตามบนโลกนี้ที่มีความปรารถนาแรงกล้า และมีความมุ่งมั่นทุกขณะจิต เมื่อนั้นความสำเร็จไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ที่ยูเวนตุส ไม่มีเลยสักเวลาที่ราวาเนลลีทำผลงานได้ตกต่ำจนหลายคนส่ายหัว แต่ตรงกันข้าม มันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้เขาจะมาจากเซเรีย บี (ลีกรอง) แต่เมื่อมาเล่นให้กับยูเวนตุส ราวาเนลลียกระดับตัวเองขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมทันทีตั้งแต่ฤดูกาลแรก (1992-93)
ทุกอย่างมันเหมือนเคมีที่เข้ากันอย่างลงตัว ยูเวนตุส คือสโมสรที่ดีที่สุดและไม่เคยพอใจกับผลเสมอ ขณะที่ราวาเนลลีในช่วงวัยรุ่นเป็นพวกเลือดร้อนและมีความกระหายยิ่งกว่าใคร ดังนั้น ไม่ใช่แค่ฝีเท้าเท่านั้นที่ทำให้เขาได้รับสิทธิ์ขึ้นมาเป็นดาวยิงหมายเลข 1 ของทีม แต่มันเป็นเพราะทัศนคติที่เหนือกว่าการเป็นนักฟุตบอลอาชีพไปอีกขั้น
ปีแรกกับยูเวนตุส เขาพาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ขณะที่ให้หลังมาอีก 2 ปี ราวาเนลลีระเบิดฟอร์มที่ดีที่สุดในชีวิตด้วยการยิง 30 ประตู ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา และฤดูกาล 1995-96 เขาสานต่อความสำเร็จครั้งใหญ่ด้วยการพายูเวนตุสเถลิงแชมป์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
4 ปีกับยูเวนตุสดำเนินไปตามเส้นทางของยอดนักเตะอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม โลกฟุตบอลมักมีอะไรเกิดขึ้นแบบไม่ทันได้คาดคิดและมีเวลาพอให้เตรียมตัวเสมอ.. หลังจากคว้าแชมป์ยุโรป ราวาเนลลีก็ต้องได้รับข่าวที่เขาไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองที่ทำผลงานได้ดี เป็นแข้งคนสำคัญ และเป็นที่รักของแฟนๆทุกคน
ย้ายแบบไม่อยากย้าย
ราวาเนลลี ในวัย 28 ปี ถูกเรียกว่า 1 ในกองหน้าแห่งยุคไปแล้ว ณ เวลานั้น (หลังคว้าแชมป์ยุโรป) และในช่วงวัยดังกล่าวน่าจะเป็นช่วงเวลาที่พีกที่สุดของนักฟุตบอลคนหนึ่งที่มีพร้อมทั้งฝีเท้า, ทัศนคติ และ วุฒิภาวะ ดังนั้นไม่มีใครคิดว่ายูเวนตุสจะโละนักเตะที่มีพร้อมทุกอย่างออกจากทีม
ในยุคของประธานสโมสรที่ชื่อว่า วิคตอริโอ ชูซาโน (Vittorio Chiusano) การนำ มาร์เชลโล ลิปปี เข้ามาคุมทีมในปี 1994 ถือเป็นการยกระดับทีมขึ้นมาอีกขั้นโดยแท้จริง ลิปปีเป็นคนที่สามารถสร้างบรรยากาศให้นักเตะในทีมมั่นใจ มีจิตวิญญาณของผู้ชนะ ทว่าคนเก่งๆอย่างลิปปีมักจะมีแนวคิดหัวก้าวหน้าที่ไม่หยุดนิ่ง.. เขาไม่เคยให้เกรดการทำงานของตัวเองในระดับเพอร์เฟ็กต์เลย มีแต่ต้องดีขึ้นในปีต่อๆไป
และแนวคิดนี้เอง ทำให้ราวาเนลลีต้องออกจากทีมไปในฤดูกาล 1996-97 เพราะลิปปีปรับโครงสร้างนักเตะเกมรุกใหม่โดยใช้ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร ขึ้นเป็นศูนย์กลางของทีมเต็มตัว พร้อมด้วยการเสริมทัพของแข้งระดับพระกาฬอย่าง อเลน บ็อกซิช กองหน้าที่ดีที่สุดของลาซิโอในเวลานั้น และ คริสเตียน วิเอรี เจ้าของฉายา “บอมบ์เบอร์” ดาวยิงที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแข้งแถวหน้าของประเทศ
สำคัญที่สุดคือการมาของเพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดแห่งยุคอย่าง ซีเนดีน ซีดาน จอมทัพชาวฝรั่งเศสที่ซื้อมาจากบอร์กโดซ์ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ลิปปีต้องการคือความสมดุลในเกมรุก เขาอยากให้ซีดานเป็นผู้เริ่มงาน มี เดล ปิเอโร เป็นคนจบงาน และมีตัวสอดแทรกอย่าง บ็อกซิช และ วิเอรี คอยสแตนด์บาย นี่คือการเกลี่ยทีมที่ลิปปีเชื่อว่ามันดีที่สุด และมันก็ดูจะถูกใจผู้เล่นในทีมเป็นอย่างมาก
“ซีดานคือโคตรของโคตรพรสวรรค์ คุณรู้ไหมอะไรที่ทำให้เขาคือขั้นกว่าของอัจฉริยะ?.. เขาเป็นนักเตะที่พร้อมจะทำเพื่อทีม เขาไม่เคยเห็นแก่ตัวเลยสักครั้งที่อยู่ในสนาม นี่คือผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุด และผมโชคดีจริงๆที่ได้เล่นคู่กับเขา” นี่คือสิ่งที่ เดล ปิเอโร พูดถึงคู่หูคนใหม่ ซึ่งชัดเจนว่าลิปปีจำเป็นที่จะต้องขายราวาเนลลีออกไปด้วยเหตุผลนี้เอง
“แน่นอน ผมไม่ควรจะต้องย้ายออกจากยูเวนตุสเลย แต่ตอนนั้นผมมีความทะนงตัวอยู่พอสมควร ผมคิดว่าผมเองก็ไม่ใช่นักเตะธรรมดาๆ และแข็งแกร่งพอที่จะออกจากทีมไปและเล่นที่ไหนก็ได้” ราวาเนลลีกล่าว
ไม่แปลกหรอกที่เขาจะมั่นอกมั่นใจในฝีเท้าของตัวเอง เพราะตัวเลขสถิติ รวมถึงถ้วยแชมป์ มันฟ้องทุกอย่างว่าเขาคือนักเตะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่บางครั้งอะไรที่มันมากเกินไปก็ไม่ดี และความมั่นใจที่ล้นเหลือและอีโก้ที่สูงปรี๊ด ก็ทำให้เขาเจอปัญหาจนได้ในการย้ายทีมครั้งต่อไป
เดอะ โบโร่.. ขวัญใจแฟน แต่ขัดใจเพื่อน
ราวาเนลลีเปลี่ยนจากแชมป์ยุโรปไปสู่สมาชิกทีมระดับกลางๆของพรีเมียร์ลีกอย่าง มิดเดิลสโบรช์ ด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ รับค่าเหนื่อยมากที่สุดในทีมถึงสัปดาห์ละ 42,000 ปอนด์ ดีกรีของเขาถือว่าสูงกว่านักเตะทุกคนในทีม และยิ่งการลงสนามนัดแรกให้กับต้นสังกัดใหม่ ราวาเนลลีสามารถกดแฮตทริกใส่ลิเวอร์พูลได้ทันทีในเกมเปิดสนามที่เสมอกัน 3-3 ดังนั้นอีโก้เขาจึงสูงจนยากจะหยุดอยู่ภายในเวลาอันรวดเร็ว
“คือมันเหมือนกับทีมของคุณมีนักเตะแบบ เมสซี หรือ โรนัลโด นั่นแหละ (การมีนักเตะอย่างราวาเนลลีอยู่ในทีม)” เคร็ก ฮิกเน็ตต์ นักเตะของ เดอะ โบโร่ ในยุคนั้นกล่าว
มาถึงตรงนี้ การมาของราวาเนลลีควรจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และเป็นขวัญกำลังใจให้กับเพื่อนร่วมทีม แต่ความจริงมันไม่ได้สวยงามอย่างนั้น ราวาเนลลีไม่เคารพกฎของสโมสร เขาคิดว่าตัวเองใหญ่ค้ำฟ้า ไม่มีการอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนกับตอนที่เขาอยู่ที่ยูเวนตุสเลยแม้แต่น้อย ยิ่งมีนักเตะอย่าง จูนินโญ เปาลิสตา และ เอแมร์สัน อยู่ในทีมโบโร่ชุดนั้นจึงเป็นบอลที่ไม่มีทีมเวิร์กเลย แค่ส่งให้ 3 แข้งเทพจัดการ ทุกอย่างก็เรียบร้อย คนอื่นๆเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น
“สตีฟ กิบสัน (ประธานสโมสร) บอกเราว่า เราจะไปสู่ความยิ่งใหญ่ เขาอยากให้ทีมกลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งเหมือนในยุค 70’s ที่เรามี แจ็คกี ชาร์ลตัน แต่บอกตรงๆ มันโคตรจะไม่เวิร์กเลย สิ่งที่เกิดขึ้นในสนามมันหาคำว่าทีมไม่เจอ แต่มันคือการเล่นกันของ 3 นักเตะเวิลด์คลาส กับ 8 นักเตะบ้านๆที่เป็นตัวประกอบ” เอริค เพย์เลอร์ นักข่าวท้องถิ่นกล่าวถึงทีมในเวลานั้น
เพื่อนร่วมทีมในหมวดหมู่ “นักเตะบ้านๆ” ให้สัมภาษณ์ถึงราวาเนลลีตรงกันเกือบจะทั้งหมด พวกเขาเรียกราวาเนลลีว่า “ไอ้อิตาเลียนขี้วีน” แต่ก็ต้องยอมรับว่า ถ้าเขาไม่ลงสนาม ทีมก็ไปไม่ถึงไหนอยู่ดี
“คือยังไงล่ะ ครึ่งหนึ่งในทีมเกลียดขี้หน้าเขามาก ส่วนอีกครึ่งก็ดูจะรักเขา จริงๆเขาเป็นคนที่ทำงานหนักเพื่อทีมนะ แถมเก่งมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น แต่ในฐานะคนๆหนึ่ง หมอนี่มันโคตรยียวนเลย ราวาเนลลีเห็นแก่ตัวในทุกสิ่งที่เขาลงมือทำ” ฮิกเน็ตต์ขยายความต่อ
ขณะที่ ยาน อาเก ยอร์ทอฟต์ (Jan Aage Fjortoft) ก็บอกไปในทิศทางเดียวกันว่าราวาเนลลีเอาแต่ใจตัวเอง จนเพื่อนๆเลิกผิดหวังแล้ว แต่กลายเป็นขำกับแต่ละเรื่องที่เขาทำมากกว่า
“ในช่วงประชุมทีม ราฟ (ชื่อเล่นของ ราวาเนลลี) พูดแทรกเสียงดังโหวกเหวก เขาชอบบ่นเป็นภาษาอิตาลีว่า ‘พอได้แล้วเฮ้ย ข้าอยากจะกลับบ้านเข้าใจป่ะ?’ คือผมเห็นแล้วผมก็อดหัวเราะไม่ได้เลย คุณรู้ไหมว่า ไบรอัน ร็อบสัน ตอบเขาว่าไง ‘นายหมายความว่า โอเคใช่ไหมกับสิ่งที่เราประชุม?’ และเรื่องจบลงที่ล่ามของราวาเนลลีตอบคำถามนี้ให้เอง ‘ใช่แล้ว เขาเข้าใจแล้วล่ะ'” แข้งชาวนอร์เวย์ เล่าเรื่องความเก๋าของราวาเนลลีที่ เดอะ โบโร่
สิ่งหนึ่งที่คุณไม่สามารถปฏิเสธได้คือ ราวาเนลลียังคงเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง เขายิงประตูไปทั้งหมด 31 ลูก พาทีมเข้าชิงฟุตบอลถ้วยในประเทศ 2 รายการในปีเดียว.. แต่เมื่อโบโร่เป็นทีมที่เล่นแบบ 8+3 พวกเขาจึงไปไหนได้ไม่ไกล.. แพ้ในรอบชิงชนะเลิศทั้ง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ (ปัจจุบันเป็น คาราบาว คัพ) และหนักที่สุดคือการตกชั้นอีกต่างหาก
“ผมแสดงให้เห็นแล้วว่าผมเล่นได้ดีขนาดไหนที่โบโร่ แต่มันต่างกันอยู่นะกับการเล่นให้ยูเวนตุส ผมได้ข้อคิดข้อหนึ่ง คือเมื่อคุณจะออกจากสโมสรที่แข็งแกร่งและเป็นโคตรทีม คุณควรกลับไปคิดสัก 100 ครั้งว่าจะย้ายจริงเหรอ? ซึ่งผมดันไม่ได้คิดแบบนั้น และสุดท้ายก็ต้องมานั่งเสียใจที่เลือกย้ายออกมา” ราวาเนลลีกล่าวถึงความผิดพลาดที่ทำให้เขามาเล่นในอังกฤษและจบแบบไม่สวยเท่าไรนัก
ตกตะกอนทางความคิด
ช่วงเวลาหลังจากนั้น ราวาเนลลีกลายเป็นนักเตะพเนจร ด้วยการไปเล่นให้กับทีมในฝรั่งเศสอย่าง โอลิมปิก มาร์กเซย กลับอิตาลีไปเล่นให้ ลาซิโอ และหวนคืนสู่ฟุตบอลอังกฤษแบบสั้นๆกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ไปจนถึงทีมเล็กๆในสก็อตแลนด์อย่าง ดันดี ซึ่งจบด้วยการแขวนสตั๊ดกับ เปรูจา ซึ่งเป็นทีมในเมืองเกิดและแจ้งเกิดบนเส้นทางอาชีพของเขา
การออกจากมิดเดิลสโบรช์ เกิดขึ้นพร้อมๆกับการมาถึงขาลงของเขา และการผจญภัยไปยังที่ต่างๆในช่วงอายุที่มากขึ้นและฝีเท้าที่ค่อยๆหายไป ทำให้ราวาเนลลีเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่กลับมาเล่นให้กับดาร์บี้ในฤดูกาล 2001-02 นั้น นักเตะดาร์บี้ไม่มีใครบ่นถึงพฤติกรรมเอาแต่ใจและใหญ่เกินทีมของเขาเหมือนกับที่โบโร่เลย
ราวาเนลลีพอจะเข้าใจแล้วว่าเขาควรจะทุ่มเทให้กับการเล่นมากกว่านี้ และเลิกทำเป็นเล่นกับความศรัทธาของแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีม
“ฟุตบอลอังกฤษถือเป็นฟุตบอลที่แท้จริง แข็งแกร่งและยุติธรรม แฟนๆเต็มไปด้วยแพสชั่น พวกเขาสนับสนุนคุณอย่างไร้เงื่อนไข ไม่มีที่ไหนคุณสามารถมีชีวิตกับฟุตบอลได้ดีเหมือนกับอังกฤษอีกแล้ว ผมไปเล่นมาก็หลายที่ในต่างแดน ที่มาร์กเซย แฟนๆก็รักผมนะ แต่ผมมาคิดได้ว่าบางทีผมน่าจะอยู่ที่อังกฤษให้นานกว่านี้” ราวาเนลลีในวัยแขวนสตั๊ดพูดถึงการหนีออกจากโบโร่ทันทีหลังทีมตกชั้น
“ผมยิง 31 ลูกในซีซั่นแรกที่อังกฤษ ผมคิดว่ามันไม่เลวร้ายเลยนะ มีหลายอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผมย้ายออกจากยูเวนตุส ผมยอมรับว่าผมเสียใจที่ผมเลือกย้ายออกมา แต่ความจริงคือผมเองก็รักทุกช่วงเวลาตลอดทั้งฤดูกาลที่เล่นให้มิดเดิลสโบรช์ด้วย”
“ย้อนกลับไป มันน่าเสียดายที่เราตกชั้น แต่ผมก็ยังจำบรรยากาศทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ดี ทุกครั้งที่ผมกลับมาอังกฤษ แฟนๆที่เดินผ่านจะเข้ามาทักทาย พวกเขายังจำผมได้อยู่เลย.. แฟนๆของ เดอะ โบโร่ ยังอยู่ในหัวใจผมเสมอ และผมก็คิดว่าผมเองยังอยู่ในหัวใจของพวกเขาด้วย” ราวาเนลลีกล่าวทิ้งท้าย
คิดได้ก็สายไป แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้คิด.. น่าเสียดาย หากราวาเนลลี่ทุ่มเทเต็มที่ในช่วงที่เล่นกับโบโร่ ใส่ใจระบบของทีม ทำความรู้จักและยอมรับเพื่อนร่วมทีม ไม่แน่ โบโร่ชุดนั้นอาจจะไม่ต้องจบฤดูกาลด้วยการเป็นดับเบิลรองแชมป์ และตกชั้นจากลีกสูงสุดก็เป็นได้
รวมถึงราวาเนลลีเองก็คงไม่ได้ถูกจดจำเพียงนักเตะอัจฉริยะที่แบกทีม แต่เขาจะถูกจดจำในฐานะผู้นำในห้องแต่งตัว และผู้สร้างยุคที่ยิ่งใหญ่ให้กับทีม ซึ่งเขาน่าจะเป็นตำนานได้ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่อีกด้วย
หน้าแรก >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://www.office-yano.com/